Ad Code

Responsive Advertisement

NAS อุปกรณ์เก็บข้อมูลเครือข่าย : บทนำ


 

อุปกรณ์เก็บข้อมูลเครือข่ายแบบ NAS (Network Attached Storage) คือหน่วยเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ระดับไฟล์ที่เชื่อมต่ออยู่กับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งจัดบริการไว้สำหรับเครื่องลูกข่ายที่ต่างแบบกัน อุปกรณ์เก็บข้อมูลเครือข่าย NAS กำลังได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากความสะดวกในการใช้ไฟล์ร่วมกันภายในเครือข่าย มีศักยภาพและประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลเทียบได้กับไฟล์เซิร์ฟเวอร์ คือ การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว แต่มีการดูแลจัดการที่ง่ายกว่า และใช้เวลาในการติดตั้งระบบที่รวดเร็วและง่ายดาย อุปกรณ์เก็บข้อมูลเครือข่ายแบบ NAS ใช้งานบนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการใช้งานผ่านโปรโตคอลระบบเครือข่ายมาตรฐาน เช่น NFS, SMB/CIFS หรือ AFP 


อุปกรณ์เก็บข้อมูลระดับเครือข่าย NAS Network Attached Storage เป็นอุปกรณ์ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ เนื่องจากความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลและใช้ไฟล์ร่วมกันในเครือข่ายในลักษณะของไฟล์เซิร์ฟเวอร์ โดยสามารถกำหนดให้ใช้งานในระดับเวิร์กกรุ๊ป หรือ ไคลเอนต์-เซิร์ฟเวอร์ ทั้งแบบสแตนอโลนหรือแอคทีฟไดเร็คทอรี่ได้  สามารถใช้งาน NAS เป็นปริ้นเตอร์เซิร์ฟเวอร์  วีดีโอเซิร์ฟเวอร์ เชื่อมต่อกับกล้องวงจรปิดแบบไอพี การทำคลาวด์สตอเรจที่สามารถใช้งานข้อมูลไฟล์ ภาพ เพลง และ มัลติมีเดีย ได้จากอุปกรณ์โมบายดีไวซ์ จากทุกที่ ทุกเวลา ทั่วโลก


การใช้งานอุปกรณ์เก็บข้อมูลเครือข่าย NAS  สามารถกำหนดการจัดเก็บข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์แบบ RAID (Redundant Array of Independent Disks) คือ เทคโนโลยีที่นำ Hard Disk ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไปมาต่อเข้าด้วยกันเพื่อให้มองเห็นเป็นก้อนเดียวกัน โดยประโยชน์หลักๆ ของการทำ RAID ก็คือการป้องกันการเสียหายของข้อมูล และเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่าน/เขียนของข้อมูล เราสามารถกำหนดการใช้งาน RAID ในระดับต่างๆ เช่น RAID 0, RAID 1, RAID 5, RAID 6, RAID 10 ตามความต้องการขององค์กรได้ โดยแต่ละแบบมีจุดดี จุดด้อยในตัวดังนี้  


RAID 0 : ประสิทธิภาพ

โหมด RAID 0 จัดให้มีการแบ่งส่วนจัดเก็บข้อมูลของดิสก์ลงในไดรฟ์ทั้งหมดในกลุ่มไดรฟ์ RAID 0 ไม่มีการสำรองข้อมูล จึงไม่มีคุณสมบัติการป้องกันการเสียหายของข้อมูล  แต่มอบประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในบรรดา RAID ระดับต่างๆ RAID 0 จะแยกข้อมูลออกเป็นเซกเมนต์ย่อยๆ และแบ่งส่วนจัดเก็บเซกเมนต์ข้อมูลต่างๆ ลงในแต่ละไดรฟ์ในกลุ่มไดรฟ์



RAID 1 : การปกป้องข้อมูล

ตั้งค่าระบบเป็นโหมดการปกป้องข้อมูล (หรือเรียกว่า โหมดมิเรอร์หรือ RAID 1) โดยแบ่งความจุออกเป็นครึ่งต่อครึ่ง ความจุครึ่งหนึ่งจะใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลของคุณ และอีกครึ่งหนึ่งจะใช้เพื่อสำรองข้อมูล ถ้าไดรฟ์หนึ่งเสีย ข้อมูลของคุณก็ยังได้รับการปกป้องเนื่องจาก'มีการทำซ้ำ

RAID 5 : การปกป้องข้อมูลและความเร็ว

ในระบบที่มีไดรฟ์ตั้งแต่สามตัวขึ้นไป เราขอแนะนำให้คุณตั้งค่าระบบเป็น RAID 5 โหมดนี้จะช่วยให้คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในทั้งสองด้านคือ ประสิทธิภาพความเร็วด้วยการแบ่งส่วนจัดเก็บข้อมูลลงในไดรฟ์ทั้งหมด และการปกป้องข้อมูลโดยการจัดให้หนึ่งส่วนสี่ของไดรฟ์แต่ละตัวในระบบไดรฟ์แบบสี่ตัวสามารถทนทานต่อความผิดพลาด ขณะที่อีกสามส่วนสี่ของระบบจะเป็นความจุในการจัดเก็บข้อมูล


RAID 6 : การปกป้องข้อมูลและความเร็วที่ดีพัฒนาให้ความเชื่อถือได้มากกว่า RAID 5

ในระบบที่มีไดรฟ์ตั้งแต่สี่ตัวขึ้นไป เราขอแนะนำให้คุณตั้งค่าระบบเป็น RAID 6 โหมดนี้จะช่วยให้คุณได้รับสิ่งที่ดีที่สุดในทั้งสองด้านคือ ประสิทธิภาพความเร็วด้วยการแบ่งส่วนจัดเก็บข้อมูลลงในไดรฟ์ทั้งหมด และการปกป้องข้อมูลโดยการจัดให้สองส่วนห้าของไดรฟ์แต่ละตัวในระบบไดรฟ์แบบห้าตัวสามารถทนทานต่อความผิดพลาด ขณะที่อีกสามส่วนห้าของระบบจะเป็นความจุในการจัดเก็บข้อมูล


RAID 10 : ความเชื่อถือได้และประสิทธิภาพสูง

RAID 10 หรือ RAID 1+0 มอบอัตรา I/O ที่สูงมากด้วยการแบ่งจัดเก็บข้อมูลเป็นเซกเมนต์แบบ RAID 1 (การทำมิเรอร์) RAID ในโหมดนี้ดีสำหรับโซลูชันการจัดการฐานข้อมูลที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจ ซึ่งต้องการประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดและสามารถทนต่อข้อผิดพลาดได้สูง ระบบที่ตั้งค่าเป็น RAID 10 จะให้ความจุครึ่งหนึ่งของความจุรวมทั้งสิ้นของทุกไดรฟ์ในอาร์เรย์


JBOD & SPANNING

JBOD คือการใช้ไดรฟ์ตั้งแต่หนึ่งตัวขึ้นไปโดยไม่ได้กำหนดค่า RAID แต่มีการจัดการในลักษณะพื้นที่จัดเก็บที่เหมาะสมโดยแยกจากกัน Spanning เป็นการรวมไดรฟ์เข้าด้วยกันแบบเส้นตรงเพื่อสร้างพื้นที่จัดเก็บที่เหมาะสมขนาดใหญ่ ประโยชน์ของการใช้โหมดนี้ก็คือ คุณสามารถเพิ่มไดรฟ์เข้าไปได้โดยไม่จำเป็นต้องฟอร์แมตระบบใหม่ การจัดการฮาร์ดดิสก์แบบนี้จะไม่มีคุณสมบัติการป้องกันการเสียหายของข้อมูล

 




Close Menu